AWC มั่นใจยอดจองห้องพักพุ่งเท่าตัว เปิดตัว ‘มีเลีย เชียงใหม่’ เพิ่มพอร์ตโรงแรมคุณภาพ ททท.ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติ 7 ล้านคน

April 16, 2022 0 Comments

การท่องเที่ยวของไทยเริ่มมีสัญญาณการพลิกฟื้น ผลพวงมาตรการของรัฐผสมเรื่องสาธารณสุข ด้าน “แอสเสท เวิรด์ฯ” โชว์ตัวเลขยอดจองห้องพักในพอร์ต AWC กรุงเทพฯ-ภูเก็ต-เชียงใหม่ เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว คาดทั้งปีอยู่ระดับ 50% พร้อมเดินหน้าเปิดแบรนด์ใหม่ระดับโลก “มีเลีย เชียงใหม่” เจาะกลุ่มคนวัยทำงาน นักธุรกิจ ตลาด MICE ด้าน ททท. ประเมินตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 7 ล้านคน เกาะติดสถานการณ์น้ำมันกระทบการเดินทาง

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ฉายภายถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเปิดรับท่องเที่ยว ระหว่างการแถลงข่าวในรูปแบบไฮบริด ในโอกาสเปิดให้บริการโรงแรมแห่งใหม่ “มีเลีย เชียงใหม่” (Meliá Chiang Mai) อย่างเป็นทางการว่า

“แม้ทั่วโลกโดนกระทบ แต่เมืองไทยยังวางกลยุทธ์หลักที่สำคัญที่ยังรักษาศักยภาพที่สำคัญ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่จะเสริมพลังเศรษฐกิจของเมืองไทยกลับมา กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการประสบการณ์ที่แตกต่าง ทาง AWC อยากมีส่วนร่วมในการคิดโปรแกรมต่างๆ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับมา ตอนนี้นักท่องเที่ยวมีความต้องการและมีคาแร็กเตอร์ที่ต่างกัน ถ้าเป็นกลุ่มตะวันออกกลาง เราจะโปรแกรมที่เหมาะสมและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เรื่องอาหาร และโปรแกรมต่างๆ และ AWC มีความเชื่อมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งได้ร่วมขานรับที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเตรียมโปรแกรมต่างๆ ไว้”

เปิดบริการโรงแรมหรู ‘มีเลีย เชียงใหม่’ รับดีมานด์นักท่องเที่ยว

นางวัลลภา กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 บริษัทเห็นสัญญาณบวกของการเริ่มฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งสอดรับกับมาตรการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้สถานการณ์ในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น โดยต่อเนื่องมาสู่ไตรมาสที่ 2 ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวที่ผู้คนเดินทางกลับบ้านใช้ชีวิตกับครอบครัว ออกท่องเที่ยวและรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งทำให้การจับจ่ายใช้สอยกลับมาคึกคัก สร้างเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในประเทศมากยิ่งขึ้น

“AWC มีความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย จึงมั่นใจอย่างมากว่า หากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายในปี 2565 ทุกกลุ่มธุรกิจของ AWC จะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับเทรนด์การเดินทางที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบ Long Stay และ Workation ซึ่งทำให้เกิดการเดินทางในวันธรรมดามากขึ้น เปิดโอกาสให้บุคลากรในหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ และกลุ่มคนวัยทำงานสามารถเปลี่ยนสถานที่ทุกที่ให้เป็นที่ทำงาน ท่ามกลางบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิม” นางวัลลภา กล่าว

ทั้งนี้ พบว่าภาพรวมยอดจองโรงแรมของ AWC ในช่วงต้นปี 2565 เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมียอดเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทได้มีการลงทุนพัฒนาโครงการคุณภาพใหม่ๆ และร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกมาโดยตลอด เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการกลับมาของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย รวมถึงเป็นการมอบประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้บริโภค และสร้างจุดหมายปลายทางแห่งการทำงานและพักผ่อนในระดับสากล

 

นอกจากนี้ AWC เดินหน้าเสริมพอร์ตโฟลิโอธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เปิดตัว โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 260 ห้องพัก เตรียมความพร้อมเสริมทัพรับการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด โดยโรงแรมตั้งอยู่บนพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญระดับไพรม์ โลเกชัน ใกล้แม่น้ำปิง และไนท์บาซาร์ ย่านค้าขายที่มีชื่อเสียงของจังหวัด เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบาย รวมถึงเป็นอีกตัวเลือกใหม่ให้นักท่องเที่ยว พร้อมห้องประชุมขนาดใหญ่รองรับธุรกิจ MICE ที่ภายในโรงแรมได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “CHIANGMAI CHARM” โดยผสมผสานอัตลักษณ์ ศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีมนต์เสน่ห์ ผ่านการตกแต่งภายในด้วยศิลปหัตกรรมท้องถิ่นร่วมสมัย จนไปถึงการนำเสนออาหารและผลิตภัณฑ์คุณภาพจากชุมชนที่แสดงถึงเอกลักษณ์และคุณค่าของจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนจากสถานการณ์โควิด

“ถือเป็นโรงแรมแห่งแรกที่ได้ดึงเชนระดับโลกมาไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้แบรนด์มีเลีย ผู้บริหารรีสอร์ตชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป จากประเทศสเปน พร้อมเอาฐานทั่วโลกของเชนมีเลียมาเชื่อมต่อ และทาง AWC ยังมีฐานลูกค้ากว่า 400 ล้านสมาชิก จะเข้ามาเสริมเมืองเชียงใหม่ของเรา ซึ่งเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวระดับโลกให้ความสนใจ และทาง AWC มีตั้งเป้าเสริมพอร์ตคุณภาพของ AWC ในภาคเหนือให้ครบ 3 แห่ง โดยจับมือกับพันธมิตรระดับโลก ทั้งจากเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล (เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่) เครือมีเลีย (มีเลีย เชียงใหม่) และเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป หรือ IHG กับโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง (รีแบรนด์โรงแรมแม่ปิงเดิม) ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปลายปีนี้ เพื่อผลักดันเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวระดับลักชัวรีของภูมิภาคและของประเทศต่อไป” นางวัลลภา กล่าวถึงความพร้อมของ AWC ในการรองรับลูกค้าแต่ละกลุ่มในจังหวัดเชียงใหม่ผ่าน 3 เชนระดับโลก

 

ปัจจุบัน AWC มีกลุ่มโรงแรมในเครือทั้งหมด 19 แห่งที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศใน 6 เมืองท่องเที่ยวสำคัญ อย่างกรุงเทพฯ กระบี่ หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ และเกาะสมุย โดยมีจำนวนห้องพักรวมกันกว่า 5,201 ห้อง

สำหรับโปรโมชันพิเศษ ชวนคุณ “มาแอ่วเชียงใหม่” กัน Meliá Room 2 คืน ราคา 4,599 บาท

(ใช้สิทธิเราเที่ยวด้วยกันชำระเพียง 2,760 บาท เงื่อนไขเป็นไปตามที่รัฐบาลกำหนด)

ราคารวม
• ห้องพักแบบ Meliá Room 2 คืน
• อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน
• เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี พักฟรี พร้อมอาหารเช้าฟรี 1 ท่าน
• เครื่องดื่มค็อกเทล 2 แก้ว สำหรับ 2 ท่าน ที่ ไหม เดอะ สกาย บาร์ บาร์เครื่องดื่มบนยอดตึกที่สูงที่สุดในเมืองเชียงใหม่
• รถรับส่งจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่

 

ยอดจองห้องพักในพอร์ต AWC เติบโตขึ้น

นางวัลลภา กล่าวถึงแนวโน้มที่ดีของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจองห้องพักในพอร์ตของ AWC โดยในมุมของกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ถึงแม้สถานการณ์ที่เราค่อยๆ ฟื้น แต่ได้พบเห็นตัวเลขที่ดี โดยพอร์ตโรงแรมในกรุงเทพฯ ไตรมาส 4 ของปี 64 ช่วงเดือนตุลาคมเริ่มปรับฟื้น และผลจากนโยบายภาครัฐที่เปิดรับนักท่องเที่ยว ส่งผลให้เดือน ธ.ค.มีความเคลื่อนไหวที่ดีมากๆ มียอดจองห้องพัก (The Occupancy Rate หรือ OR) เติบโตขึ้น 1.8 เท่าของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จองห้องพักในพอร์ตของ AWC ขณะที่ในภูเก็ต เติบโตขึ้น 8 เท่า เช่นเดียวกับที่จังหวัดเชียงใหม่โตขึ้น 1.8 เท่า แต่สัดส่วนหลักยังเป็นลูกค้าคนไทยในอัตราสูงถึง 76%

“ตอนนี้เรามีความหวัง เห็นหลายเมืองเริ่มเปิดเต็มรูปแบบ จะตอบโจทย์ให้ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และจากข้อมูลของผู้บริหารเชนระดับโลก พบว่า ผลประกอบการปี 64 ดีกว่า 2562 ไปแล้ว และด้วยมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ และของ AWC ทั่วโลกให้ความชื่นชม ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเดือน ธ.ค.ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 40 ดังนั้น เราเชื่อว่าในไตรมาส 3 และะ 4 ของปี 65 จะเห็นการกลับมาที่ดี และจะเห็น Momentum ที่น่าตื่นเต้นสำหรับพวกเราคงประมาณปี 2566 ในการร่วมกระตุ้นการเดินทาง เพื่อดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมา”

บริหารความสมดุล แอสเสทในพอร์ต AWC

นางวัลลภา กล่าวถึงการปรับตัวของ AWC กับแอสเสทที่มีอยู่ในขณะนี้ว่า พอเรามองถึงความไม่แน่นอนยาวนาน จนเรามองว่าการปรับตัวเป็นเรื่องปกติ และเป็นโอกาสได้เห็นกลุ่มลูกค้าที่ชัดขึ้น ตอนนี้ AWC มีครบวงจร และเสริมเรื่องฐานของโรงแรมและท่องเที่ยว และมาดูเรื่องฐานธุรกิจการปล่อยเช่าและชอปปิ้ง ในมุมของธุรกิจอาคารสำนักงานและปล่อยเช่า พอเราผนึกกำลังเอาส่วนของไลฟ์สไตล์ของโรงแรม ที่เดิมมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 96% ก็ต้องดูแลกัน ปรับน้ำหนักและประคองนักท่องเที่ยวของเราทั้งระบบไปด้วยกัน เพราะต่างชาติยังไม่พร้อมจะมา

“กลยุทธ์หลักเราจะตอบโจทย์ในองค์รวม ดูแลลูกค้าคนไทย จะซัปพอร์ตลูกค้าในประเทศอย่างไร เอาโมเดลโรงแรมไปซัปพอร์ตออฟฟิศและผู้เช่า ที่สามารถมาสนุกกับการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของโรงแรมได้ทั่วทั้งประเทศ โมเดลเราจะผนึกกำลังทุกภาคส่วน เรามองถึงโอกาสที่จะสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของควมยั่งยืน การประหยัดพลังงาน จนถึงขณะนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ร้อยละ 56% ค่าใช้จ่ายส่วนนี้สามารถลดต้นทุนคงที่ลงไปได้เกือบร้อยละ 30 เป็นองค์รวมถึงมีต่อระบบเศรษฐกิจ เรามองเรื่อง BCG เป็นเรื่องกลยุทธ์ใหญ่ เป็นการลงทุนระยะยาว เรามองถึงชุมชน และมองจิตวิญญาณด้วย เราต้องมองเรื่องความยั่งยืน”

(ขวา) น.ส.สมฤดี จิตรจง
(ขวา) น.ส.สมฤดี จิตรจง

ททท.คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา 7 ล้านคน

น.ส.สมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านบริหาร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เปิดเผยว่า หลังจากที่ประเทศไทยได้มีการผ่อนคลายมาตรการเรื่องการเดินทางเข้าประเทศ โดยยกเว้นการตรวจแบบ RT-PCR จากประเทศต้นทางก่อนเดินทางเข้าไทย เหลือเพียงการตรวจแบบ Test & Go ในวันแรกเมื่อเดินทางมาถึง และตรวจ self-ATK อีกครั้งในวันที่ 5 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในภาพรวมของไทยกลับมาคึกคักทันทีตั้งแต่วันแรกของมาตรการ สะท้อนผ่าน จำนวนเที่ยวบินรวมถึงจำนวนตัวเลขของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึงหลักหมื่นคนต่อวัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

โดยในปี 2565 นี้ทาง ททท.ได้ตั้งเป้ายอดนักเดินทางชาวต่างชาติเอาไว้ที่ 7 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ถึง 1.07 ล้านล้านบาท และกลับมาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกครั้ง

ในประเด็นเรื่องผลกระทบจากสงครามรัสเซีย -ยูเครน นั้น รองผู้ว่าฯ ททท. ระบุว่า กระทบเรื่องนักท่องเที่ยวรัสเซีย ซึ่งมีสัดส่วน 1 ในอันดับ 5 ของประเทศไทย และเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัว อาจจะเกิดขึ้นจากการคว่ำบาตรเรื่องธุรกรรมการเงิน ตรงนี้ยังส่งผลอยู่

“เราเฝ้าจับตาเรื่องราคาน้ำมัน มีผลต่อตั๋วเครื่องบิน ถ้าตั๋วเครื่องบินแพงขึ้น นักท่องเที่ยวจะเริ่มมองหาแหล่งท่องเที่ยวที่ใกล้ ตอนนี้มีบางสายการบินต้องบินอ้อมถึงหลายชั่วโมงจากมาตรการควบคุมของรัสเซีย และบางสายการบินปรับราคาขึ้นกว่า 3 แสนบาท แต่สถานการณ์ต่างๆ เราคาดหวังจะดีขึ้น แต่ทาง ททท.ได้ปรับกลยุทธ์ในการหาตลาดอื่นๆ เข้ามาทดแทน เช่น นักท่องเที่ยวจากประเทศอินเดีย”

ระวัง ‘กับดัก’ คนระมัดระวังการใช้จ่าย

ประเมินแนวโน้มธุรกิจการท่องเที่ยวในครึ่งปีหลัง 65 ว่า จากนโยบายของรัฐบาลยังคงเน้นตลาดในประเทศไปก่อน เราไม่รู้ว่าจะเกิดสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ เป้าหมาย ททท. ยังคงประเมินนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 7 ล้านคน ดังนั้น ตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ เรามีแคมเปญ “เที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” เน้นเรื่องการท่องเที่ยวให้หลายคนคิดถึง และรัฐบาลได้มีการจับมือกับสายการบินต่างๆ เช่น สายการบินแอร์เอเชีย นกแอร์ หรือไทยสมายล์ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการเดินทางได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา คนจะไม่นิยมขึ้นเครื่องบิน แต่จะเน้นเดินทางในระยะใกล้ๆ แต่ตอนนี้พบว่า ยอดจองตั๋วสายการบินระยะไกลทางภาคเหนือและภาคใต้เริ่มหนาแน่นขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังต้องระวังกับดักค่าใช้จ่ายต่อคนต่อหัวในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และเจอปัญหาเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งนักท่องเที่ยวอาจจะเดินทาง แต่จะระมัดระวังในจับจ่าย ตรงนี้เป็นโจทย์ที่ ททท.จะต้องคิดต่อ

น.ส.สมฤดี กล่าวถึงภาพรวมท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เราคาดว่าอัตรการจองห้องพักทางภาคเหนือน่าจะเพิ่ม 36.7% คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาภาคเหนือประมาณ 4 แสนคน จังหวัดหลัก คือ เชียงใหม่ ที่จะสามารถสร้างรายได้มากที่สุด และหากหลังสงกรานต์ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น ยอดผู้เสียชีวิตไม่มาก คิดว่าในเดือนพฤษภาคมน่าจะเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการ เนื่องจากมีวันหยุดยาว ทำให้มีสตอรี่ในการทำตลาด

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket